เที่ยววัดในกรุงเทพ แบบ One day trip

เปิดศักราชใหมแล้ว ไหว้พระทำบุญ ขอพรการงาน การเงิน สุขภาพ และความรัก เสริมมงคลชีวิตกันสักหน่อย ซึ่งวัดในกรุงเทพทั้งหมดมีเยอะมากไม่แพ้ที่อื่นเลย แต่เราได้รวบรวมวัดสวยๆในกรุงเทพ เพื่อให้ได้เดินสายทำบุญและได้ถ่ายรูปเช็คอินกันแบบจุใจ ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล แค่ One day trip ก็ได้ไหว้พระในกรุงเทพได้หลายวัด ทั้งเก็บแต้มบุญและถ่ายรูปสวยๆได้อย่างจุใจ จนโพสรูปลงอวดโซเซียลกันไม่หมด ชนิดที่เรียกได้ว่าเที่ยวอย่างคุ้มค่าภายในวันเดียว มีวัดไหนที่น่าสนใจบ้างไปดูกันเลย

1.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม  

วัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือที่เรารู้จักกันในนาม “วัดพระแก้ว” ที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต พระพุทธรูปปางสมาธิที่แกะสลักจากหยกสีเขียวเข้มที่หายากมาก รัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทร์ และยังมีเครื่องทรงที่ทำด้วยทองคำประดับเพชรและอัญมณีต่างๆ สำหรับทรงตามฤดูทั้ง 3 ฤดู ได้แก่ เครื่องทรงฤดูร้อน เครื่องทรงฤดูฝน เครื่องทรงฤดูหนาว โดยเครื่องทรงจะมีความแตกต่างกันไปตามฤดูกาลในการห่มทรงพระปางสมาธิในกรุงเทพ

วัดพระแก้วเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง ที่รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นพร้อมสถาปนากรุงรัตนกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นการสร้างวัดในพระราชวังตามอย่างวัดพระศรีสรรเพชญ์ในกรุงศรีอยุธยา โดยวัดพระแก้วจะอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกทางทิศตะวันออก มีพระสงฆ์ไม่มากนัก มักจะเป็นที่บวชนาคหลวง และทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของข้าหลวง 

วัดพระแก้วเป็นวัดดังในกรุงเทพที่ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติหลั่งไหลเยี่ยมชมความงามไม่เคยขาดสาย โดยภายในบริเวณวัดพระแก้ว มีความวิจิตรงดงามของเจดีย์องค์ใหญ่สีทอง ที่ภายในมีเจดีย์องค์เล็กประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระอุโบสถปราสาทพระเทพบิดร ปราสาทยอดพระปรางจัตุรมุข พระศรีรัตนเจดีย์ พระอัษฏามหาเจดีย์ ยักษ์ทวารบาล ที่แต่ละจุดจะมีความอ่อนช้อยของสถาปัตยกรรม รวมไปถึงสัตว์ป่าหิมพานต์อย่าง อสุรปักษี นาค ครุฑ กินรี เป็นจุดถ่ายภาพที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ  

นอกจากนี้ยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับรามเกียรติ์ ซึ่งเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ยาวที่สุดในโลก และยังเป็นวัดที่มียักษ์เยอะที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมีมากถึง 12 ตน ที่คอยเฝ้าประตูรอบทิศ และมีนามทุกตน โดยจะมียักษ์ที่ยืนเฝ้าด้านหน้าปราสาทเทพบิดร คือ สุริยาภพ (กายสีแดง) และอินทรชิต (กายสีเขียว) สามารถเข้าเยียมชมและสักการะพระแก้วมรกตได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 15.30 น. โดยคนไทยเข้าฟรี แต่ต่างชาติ 200 บาท และจะต้องแต่งกายสุภาพ ห้ามใส่กางเกงขาสั้นหรือขาสามส่วน ห้ามใส่กระโปรงสั้น ห้ามใส่เสื้อแขนกุด และห้ามใส่รองเท้าแตะ

2.วัดพระเชตุพน

วัดโพธารามของสมัยก่อนหรือที่รู้จักกันในนามของ “วัดโพธิ์” เป็นวัดประจำรัชกาลที่1 เป็นอีกหนึ่งวัดในกรุงเทพมหานครที่ควรได้ไปไหว้สักการะ เพราะเป็นวัดที่มีพระปางไสยาสน์หรือพระนอนในกรุงเทพองค์โต ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย ซึ่งเชื่อว่าพระไสยาสน์องค์นี้เป็นปางโปรดอสุรินทราหู มีสีทองเหลืองอร่าม พระพักตร์อิ่มเอิบ ดูขรึมขลัง พระบาททั้งสองข้างประดับด้วยมุกเป็นลวดลาย 108 ประการ ที่ผสมผสานระหว่างศิลปะไทย-จีน งดงามอย่างลงตัว นับเป็นอีกหนึ่ง unseen ไทยแลนด์ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2551 

นอกจากนี้วัดโพธิ์ยังมีชื่อเสียงที่เลื่องลือในศาสตร์แห่งการนวดแผนโบราณ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีการจารึกตำรา วิชาต่างๆหลายแขนง ทั้งประวัติศาสตร์ การแพทย์ วรรณกรรม นับเป็นแหล่งที่ให้ความรู้หลายศาสตร์ จึงเปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย 

วัดโพธิ์มีพระเจดีย์ประมาณ 99 องค์ นับว่ามีมากที่สุดในประเทศไทย และเมื่อเดินเข้าไปข้างในพระวิหาร จะมีพระมหาเจดีย์ประจำองค์กษัตริย์สี่รัชกาล อันได้แก่ พระเจดีย์ประจำองค์พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  พระเจดีย์ประจำองค์พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระเจดีย์ประจำองค์พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระเจดีย์ประจำองค์พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยหมู่เจดีย์จะมีสีสันโทนสดใสคละกันไปอย่าง ส้ม เหลือง เขียว ถ่ายรูปสวยทั้งพอร์ตเทรต วินเทจ เรียกว่าจะถ่ายรูปอาร์ตแนวไหนได้หมด ชนิดที่เรียกว่ามาแล้วไหว้พระอิ่มบุญ ขอพรอิ่มใจ ถ่ายรูปสวยอิ่มตา สามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวันในเวลา 08.00 – 21.00 น. โดยคนเข้าไทยเข้าฟรี และ ต่างชาติ ราคา 50 บาท 

3.วัดอรุณราชวราราม

หลายคนรู้จักกันดีในนาม “วัดแจ้ง” บ้างก็เรียก “วัดอรุณฯ” ซึ่งตั้งตระหง่านฝั่งธนบุรี โดดเด่นเห็นได้ชัดจากริมน้ำเจ้าพระยา เป็นวัดสำคัญเพราะเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2 และถือเป็นวัดเก่าแก่ในกรุงเทพที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยเดิมมีชื่อว่า “วัดมะกอก” แต่เมื่อพระเจ้าตากสินมหามีราชประสงค์ราชย้ายราชธานีมากรุงธนบุรี และได้กรีธาทัพทางชลมารค มาถึงหน้าวัดมะกอกเมื่อรุ่งสาง จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดมะกอกใหม่เป็น วัดแจ้ง จวบจนเข้าสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เถลิงถวัลพระราชสมบัติ ต้องการปฏิสังขรณ์วัดแจ้ง แต่ไม่ทันแล้วเสร็จ พระองค์ได้เสด็จสวรรคต พระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงปฏิสังขรณ์ต่อจนบริบูรณ์และพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม” และเป็นวัดประจำพระองค์ตั้งแต่นั้นมา 

พระปรางค์วัดอรุณฯเป็นสถาปัตยกรรมไทย ประดับด้วยเปลือกหอย จาน ชาม กระเบื้องเคลือบ เครื่องเบญจรงค์ที่มีลวดลายต่างๆ ทั้งลายใบไม้ ดอกไม้ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน โดยยอดบนสุดของพระปรางค์ติดตั้งยอดนภศูล และมี เทวดา ครุฑ ยักษ์ กินนร กินรี อยู่รอบบริเวณปรางค์ นอกจากนี้บริเวณรอบพระปรางค์ใหญ่ ยังมีพระปรางค์เล็ก 4 องค์ 4 ทิศ ซึ่งมีพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ มีรูปปั้นมารและเทวดาแบกฐานสลับกัน อีก 4 ซุ้มมีพระนารายณ์อวตาร โดยมีเทพพนมนรสิงห์ปราบยักษ์อยู่บนยอดปรางค์ 

ด้วยความที่เราเคยอาศัยอยู่ละแวกที่สามารถเห็นการบูรณะพระปรางค์ โดยมีเหล็กครอบยอดพระปรางค์หลายปีจนชินตา จนกระทั่งเสร็จสิ้นสมบูรณ์เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2556 รูปโฉมใหม่ของพระปรางค์สีขาวประดับลวดลายกระเบื้องสีสันวิจิตรงามตา ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติหลั่งไหลเข้าไปเยี่ยมชมและถ่ายรูปเก็บความสวยงามที่น่าประทับใจกันอย่างไม่ขาดสาย หากใครอยู่ฝั่งกรุงเทพและต้องการไปวัดอรุณฯ สามารถนั่งเรือข้ามฟากที่ท่าเตียนเพื่อไปลงท่าเรือวัดอรุณฯ ค่าเรือข้ามฟากแสนถูก ได้บรรยากาศและยังถ่ายรูปขณะนั่งเรือข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เก็บรูปสวยๆก่อนถึงวัดได้อีก วัดอรุณฯเปิดให้เข้าเยี่ยมชมได้ทุกวันในเวลา 08.00 – 17.30 น. โดยคนไทยเข้าฟรี และต่างชาติ 50 บาท 

4.วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม 

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามหรือที่นิยมเรียก “วัดราชบพิธ” พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร และเป็นพระอารามหลวงสุดท้าย ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างวัดประจำรัชกาลตามราชประเพณีโบราณ วัดราชบพิธเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 อันเนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 7 ไม่ได้มีการสร้างวัดประจำรัชกาล แต่รัชกาลที่ 7 ได้ทรงทำนุบำรุง ปฏิสังขรณ์วัดราชบพิธ ที่เป็นวัดประจำของพระราชบิดา (รัชกาลที่ 5) จึงเปรียบเสมือนเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 7 ด้วย 

มีการใช้สถาปัตยกรรมไทยผสานกับสถาปัตยกรรมตะวันตก โดยภายนอกพระอุโบสถ วิหาร จะเป็นสถาปัตยกรรมไทย ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ เครื่องเบญจรงค์ ลงรักลายไทยประดับมุก เป็นดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ ที่เขียนด้วยมือทุกแผ่น และพระเจดีย์ประดับกระเบื้องเคลือบทรงระฆัง โดดเด่นด้วยสีทองอร่ามวิจิตรงามตา ส่วนภายในโบสถ์ตกแต่งแบบยุโรป  

เมื่อเดินเข้าไปบริเวณด้านใน จะเห็นเจดีย์ประธานตั้งเด่นสง่าอยู่ตรงกลาง โดยมีระเบียงกลมล้อมรอบ พระเจดีย์รูปทรงระฆังประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ ด้านในมีพระพุทธรูปปางนาคปรกที่เป็นศิปละขอม และมีพระพุทธรูปอื่นอีก 6 องค์ประดิษฐานอยู่ภายใน และไม่ว่าจะด้านนอกหรือด้านใน ก็มีความสวยงามวิจิตรและอลังการมาก ถ่ายรูปออกมาแล้วคุณจะดูตัวเล็กไปเลย แต่ถ่ายรูปออกมาสวยทุกจุดทุกบริเวณ คุ้มค่าและหายเหนื่อยที่เดินทางมาอย่างแน่นอน 

5.วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร 

หากคุณต้องการสักการะพระพุทธชินราชในกรุงเทพ เพียงเดินทางมาที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร หรือที่บางคนเรียกสั้นๆว่า “วัดเบญจมบพิตรฯ” หรือ “วัดเบญฯ” ที่สถาปนาขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า จะได้ไหว้พระพุทธชินราชสมใจโดยไม่ต้องเดินทางไปถึงพิษณุโลก นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติในชื่อ “Marble temple” เนื่องจากวัดมีการประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดที่นำมาจากอิตาลี มีความวิจิตรงดงามด้วยสถาปัตยกรรมไทยโบราณ ซึ่งอยู่ภายใต้การออกแบบของสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังดีที่สุดอีกด้วย 

เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูวัดเข้าไป จะเห็นพระอุโบสถตั้งเด่นสง่าอยู่ตรงกลาง โดยมีพระพุทธชินราช ที่จำลองมาจากพิษณุโลก ประดิษฐานเป็นประธานอยู่ด้านใน บริเวณชั้นในรอบอุโบสถเป็นแบบจตุรมุข โดยเสาและผนังกรุด้วยหินอ่อนนำเข้าจากอิตาลี และเมื่อเข้าไปภายในโบสถ์ นอกจากความงดงามของพระพุทธชินราชแล้ว ยังมีพระพุทธรูปปางห้ามญาติที่ทรงเครื่องแบบศิลปะลพบุรี พร้อมด้วยสิงห์ทวารบาลที่สลักจากหินอ่อน 2 ตัว อยู่ด้านหลังพระอุโบสถ 

พื้นภายในพระอุโบสถปูด้วยหินแกรนิตสีเทาและชมพูอ่อน รายล้อมด้วยระเบียงคดปูด้วยหินอ่อนทั้ง 4 ด้าน เสากลมหินอ่อนจำนวน 64 ต้น และพระพุทธรูปโบราณปางต่างๆ 52 องค์ ที่สมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพได้นำมาจากต่างประเทศและหัวเมืองต่างๆ 

วัดเบญจมบพิตฯ มีอาณาบริเวณกว้างขวาง สงบร่มรื่น เดินหามุมเงียบๆพักจิตใจหรือจะเดินเล่นชิวล์ๆ หามุมถ่ายรูปสวยๆได้เยอะมาก ด้วยภายในวัดมีกลุ่มอาคารโบราณที่ให้ความคลาสสิค ถ่ายรูปออกมาได้สวยสุด ดังจะย้อนยุคกลับไปสมัยเก่า โดยเฉพาะพระที่นั่งทรงธรรม อาคาร 2 ชั้นที่ปูด้วยหินอ่อน ที่เมื่อโดนแสงอ่อนๆยามเช้าหรือแสงอาทิตย์ยามเย็นกระทบจะมีการเรียงตัวสวยมาก รับรองว่าถูกใจคนที่ชอบถ่ายรูปสุดๆไปเลย โดยสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวัน โดยคนไทยเข้าฟรี และคนต่างชาติ 50 บาท 

6.วัดสระเกศ (ภูเขาทอง)

“ภูเขาทอง” สัญลักษณ์ของกรุงเทพฯ พระอารามหลวงชั้นโทชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมคลองมหานาค หรือเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย มีความโดดเด่นที่ภายในวัดมีพระบรมบรรพต หรือภูเขาทอง ที่เป็นเจดีย์บนภูเขาจำลอง วัดสระเกศถูกสร้างในสมัยของรัชกาลที่ 3 โดยทรงต้องการให้พระปรางค์มีฐานย่อมุมไม้สิบสอง แต่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จดี ก็มีเหตุให้ต้องชงักไปเสียก่อน จนมาถึงรัชกาลที่ 4 จึงทรงให้เปลี่ยนแบบเป็นภูเขา และก่อพระเจดีย์ไว้บนยอด เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ สามารถมองเห็นยอดเจดีย์สีทองอร่ามส่องสว่างได้แต่ไกล 

ด้านบนเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นกรุงเทพฯ ได้ 360 องศา โดยการที่จะขึ้นไปบนภูเขาทองจะต้องเดินวนขึ้นบันไดประมาณ 300 กว่าขั้น แต่เมื่อไปถึงจุดชมวิวและได้เห็นภาพของเมืองกรุงเทพฯได้แบบสุดลูกหูลูกตา ก็นับว่าคุ้มค่าและเป็นอีกหนึ่งวัดสวยในกรุงเทพฯที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว โดยสามารถเข้าชมได้ทุกวัน เวลา 08.00 – 19.00 น.

7.วัดราชนัดดารามวรวิหาร

วัดที่มีพระธาตุในกรุงเทพ ก็จะต้องเป็นวัดราชนัดดารามวรวิหาร หรือ “วัดราชนัดดาราม” ที่ตั้งอยู่บนถนนมหาไชย ด้านหลังพระที่นั่งพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ หากมองจากถนนก็จะเห็นยอดโลหะประสาทที่ตั้งอยู่ภายในวัดราชนัดดาราม เป็นอีกวัดดังกรุงเทพย่านเมืองเก่าที่ไม่ควรพลาด หากเดินทางสายทำบุญไหว้พระหรือตามเก็บถ่ายรูปสวยๆใกล้ภูเขาทอง เพราะอยู่ใกล้สถานที่สำคัญๆหลายแห่ง ทั้งภูเขาทองลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ป้อมมหากาฬ สะพานผ่านฟ้าลีลาศ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถานเมื่อพ.ศ.2492 

วัดพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร ถูกสร้างขึ้นปลายรัชสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระราชนัดดา พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดี และได้พระราชทานนามว่า “วัดราชนัดดาราม” โดยพระองค์โปรดเกล้าฯให้สร้างโลหะปราสาทแทนการสร้างเจดีย์ เป็นการสร้างโลหะปราสาทแห่งแรกของไทย และเป็นแห่งที่ 3 ของโลก ซึ่งสร้างเป็นอาคาร 7 ชั้น มียอดประสาท 37 ยอด มีบันไดเวียน 67 ขั้น ที่สามารถเดินขึ้นไปข้างบนเพื่อดูทัศนีย์ภาพย่านภูเขาทองได้ และยอดปราสาทชั้น 7 จะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ในขณะที่ในพระอุโบสถมี “พระเสฏฐตมมุนี” เป็นพระประธาน และ “พระพุทธชุติธรรมนราสพ” พระพุทธรูปปางห้ามสมุทรประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร สามารถเข้าเยี่ยมชมความสวยงามของโลหะปราสาทได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น.

8.วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร หรือชื่อที่คุ้นหูกันดีในนามของ “วัดเสาชิงช้า” พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวัดราชวรวิหาร 1 ใน 6 วัดของไทย และอยู่ในเขตพระนครชั้นใน เป็นอีกวัดศักดิ์สิทธิ์ในกรุงเทพ ตั้งอยู่ถนนบำรุงเมือง แขวงเสาชิงช้า โดยจุดเด่นคือจะมีเสาชิงช้าหน้าวัด เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และได้มีการอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารของพระองค์บรรจุด้วยผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนี  

เป็นวัดที่ใช้เวลาสร้างถึง 3 รัชกาล จึงนับว่าเป็นวัดเก่าแก่กว่า 200 ปี โดยเริ่มจากรัชกาลที่ 1 ทรงพระราชดำรัสให้สร้างขึ้น โดยมีพระประธานคือพระศรีศากยมุณีหรือหลวงพ่อโตหล่อด้วยสำริดสมัยสุโขทัย แต่พระองค์ก็สวรรคตก่อนที่วัดจะสร้างแล้วเสร็จ ชาวบ้านจึงเรียกว่าวัดพระโต และเมื่อในรัชกาลที่ 2 ได้ทรงดำเนินการสร้างต่อ พระองค์ก็ได้ทรงสร้างบานประตูกลางจำหลักพระวิหารด้วยฝีพระหัตถ์ ร่วมกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นจิตรภักดี แต่ยังไม่ทันเรียบร้อยสมบูรณ์ พระองค์ก็ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ทรงดำเนินต่อและโปรดเกล้าฯให้สร้างพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิสำนักสงฆ์ และพระราชทานนามว่า “วัดสุทัศนเทพวราราม” 

ผู้ที่ศรัทธาและต้องไหว้ท้าวเวสสุวรรณในกรุงเทพ สามารถเดินทางมาที่วัดสุทัศน์ฯได้เลย เพราะที่วัดนี้มีท้าวเวสสุวรรณซึ่งอยู่ด้านหลังโบสถ์ ให้ประชาชนได้มาสักการะเพื่อเป็นศิริมงคล โดยเชื่อว่าใครที่มาไหว้จะมีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีเสน่ห์ นอกจากนี้วัดสุทัศน์มีพระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศไทย และยังมีเรื่องเล่าขานแบบปากต่อปาก เรื่องเปรตวัดสุทัศน์ ว่าเคยมีคนพบเห็นเปรตปรากฏที่วัดนี้บ่อยๆ จนเมื่อสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) ขณะที่ยังทรงดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ ได้เปรยกับเปรต โดยมีใจความ ให้เปตรไปอยู่ด้วยกับท่าน จะได้ไม่ต้องไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน นับแต่นั้นก็ไม่มีใครเห็นเปรตมาปรากฏตัวอีกเลย 

9.วัดประยงค์กิตติวนาราม

ตั้งอยู่ในแขวงคลองสิบสอง เขตหนองจอก มีความเงียบสงบร่มรื่นเหมาะกับการเป็นวัดปฏิบัติธรรมในกรุงเทพ วัดประยงค์กิตติวนารามมีพระพุทธศรีอริยเมตไตยทรงเครื่องใหญ่เป็นพระประธานซึ่งตั้งประดิษฐานในพระอุโบสถ ที่ห้อมล้อมด้วยอักขระธรรมคาถาหลายบท โดยมีพญาครุฑรูปใหญ่ที่กายท่อนบนสีแดง ส่วนด้านล่างสีทองอร่าม นั่งตระหง่านน่าเกรงขามอยู่หน้าอุโบสถ เหมือนกำลังคอยปกปักรักษาพระอุโบสถแห่งนี้ไว้ 

เป็นอีกวัดดังกรุงเทพ เนื่องจากพุทธศาสนิกชนสามารถไปไหว้สักการะรูปหล่อหลวงปู่ทวดในกรุงเทพได้ที่วัดประยงค์ฯ โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงภาคใต้ โดยรูปหล่อหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ตั้งประดิษฐานท่ามกลางหมู่แมกไม้และลานน้ำพุ ให้ความร่มเย็น นำเสื่อมาปูนั่งสมาธิหรือกราบไหว้หลวงปู่ในตอนเช้าๆก่อนแสงแดดจะแรงก็ดีไม่น้อย อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธ์มากมาย ทั้งพระพุทธรูปปางประทานพร พระสีวลี พระพิฆเนศวร พระปางนาคปรก และอีกมากมาย มาที่วัดประยงค์กิตติวนารามที่เดียวก็ได้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์ในกรุงเทพสมใจแน่นอน